กิเลสซ้อมรบ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างอำนาจวาสนาบารมีมากมายมหาศาล
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมๆ คำว่า “ตรัสรู้ธรรม” มีพระพุทธกับพระธรรม พระธรรมๆ คือสัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ถึงมีพระพุทธ พระธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ ไง ได้พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม เป็นพระสงฆ์ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เราเป็นชาวพุทธไง ถ้าเราเป็นชาวพุทธ เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์รัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่อาศัย ถ้ามีรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่อาศัย คนเราเกิดมามีอำนาจวาสนา เขามีศรัทธามีความเชื่อของเขา เขามีอำนาจวาสนาของเขา แต่โดยธรรมชาติของคนๆ ไง เวลาคนเกิดมา เห็นไหม พ่อแม่อบรมบ่มเพาะมาเป็นทารกเป็นทารกเขาจะรู้สิ่งใด พ่อแม่ก็อบรมบ่มเพาะสั่งสอนไง ให้ทำบุญทำทาน ให้รู้จักทำคุณงามความดี ถ้าคุณงามความดี ชีวิตของตนก็มีความสุขความทุกข์ตามอัตภาพของตน คำว่า “ตามอัตภาพของตน” สิ่งที่เรารู้เราเห็นด้วยวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เรารู้เราเห็นในการวิเคราะห์วิจัย
แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เป็นแบบนั้น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เขามีอำนาจวาสนาหรือไม่ ถ้าเขามีอำนาจวาสนาของเขา เขามีแนวคิด เขามีความคิดของเขา คนเกิดมา เห็นไหม ความคิดของคน เห็นไหม เวลาเด็กเวลาไร้เดียงสา เวลามันพูดออกมา ผู้ใหญ่สะอึกเลยล่ะเด็กมันพูดได้แทงใจดำๆ แต่นั่นก็ความรู้สึกนึกคิดของเขา
แต่ของเราๆ ถ้าเรามีอำนาจวาสนา เรามีความสุขความทุกข์ตามอัตภาพของตนๆ ตามอัตภาพของตนในทางวิทยาศาสตร์ ทางที่เราพิสูจน์ได้ ในทางความเชื่อของเรา
แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เป็นแบบนั้น กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน คนเราเกิดมา องค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาประพฤติปฏิบัติไง บุพเพนิวาสา-นุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ สิ่งที่ว่าบุพเพนิวาสา-นุสติญาณ อดีตชาติๆ เวลาเป็นพระโพธิสัตว์ได้สร้างบุญสร้างกรรมมามากมายมหาศาลขนาดไหน ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย
การสร้างอำนาจวาสนาบารมี เวลาองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพยากรณ์แล้ว เขาจะเป็นพระโพธิสัตว์จนกว่าจะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปข้างหน้า ไม่มีทางแก้ไขได้ จะต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สร้างคุณงามความดีต่อเนื่องไปๆ จนกว่าบารมีเต็ม ถ้าบารมีเต็มขึ้นมาแล้ว เห็นไหม จะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลามาตรัสรู้ด้วยอาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่ถ้าไม่ได้ตรัสรู้ธรรม จุตูปปาตญาณ เวลาจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเห็นได้หมดนะ ความทุกข์ความยาก ความทุกข์ความยากขนาดไหน ตามข้อเท็จจริงในพระพุทธศาสนา มันไม่เป็นอย่างวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ว่าทางวิทยาศาสตร์มีความสุขความทุกข์ตามอัตภาพของตนๆ ใช่ตามอัตภาพของตน แต่! แต่กิเลสมันไม่เป็นอัตภาพน่ะซี กิเลส ในใจของคนมันบีบมันรัดในหัวใจของคน มันทุกข์มันยากตรงนี้ไง
ที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มีอำนาจวาสนาๆ เพราะเรามีอำนาจวาสนา นี่ เห็นไหม เกิดในประเทศอันสมควร เกิดในประเทศอันสมควรเกิดในประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา เกิดในประเทศอันสมควรเกิดจากพ่อจากแม่ไง ถ้าเกิดจากพ่อจากแม่ พ่อแม่เป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้องชอบธรรม ลูกเกิดมามีความสุขตามอัตภาพของตน
ถ้าพ่อแม่ เห็นไหม พ่อแม่ที่เป็นโจรก็พาลูกให้เป็นโจรไง เกิดในประเทศอันไม่สมควร สมควรและไม่สมควร เกิดจากพ่อจากแม่ ถ้าจากพ่อจากแม่ เห็นไหมด้วยสายบุญสายกรรม อภิชาตบุตร บุตรที่ดีกว่าพ่อกว่าแม่ บุตรที่สร้างอำนาจวาสนาดีกว่าพ่อกว่าแม่ แล้วมันดีตรงไหนล่ะ ถ้าดีทางโลก ดีทางโลกเขาประสบความสำเร็จทางโลกของเขา เขาทำชื่อเสียงกิตติศัพท์ กิตติคุณในชาติในตระกูลของเขา นั่นในทางโลกที่พิสูจน์กันได้
แต่ในทางธรรมๆ เห็นไหม เวลาอนาถบิณฑิกเศรษฐีไง เวลาลูกสาวเจ็บไข้ได้ป่วย ไปดูแลลูกสาวเจ็บไข้ได้ป่วย ลูกสาวจะบอก “อ๋อ! น้องชายมาแล้วหรือ น้องชายมาแล้วหรือ” เวลาลูกสาวเสียชีวิตไป ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “เสียใจเหลือเกิน ลูกสาวของตน เวลาจะเสียชีวิตทำกาลกิริยามันเพ้อเจ้อ” “เพ้อเจ้อว่าอย่างไร” “เพ้อเจ้อว่าน้องชายมาแล้วหรือ เพราะเป็นพ่อ ไม่ใช่เป็นน้องชาย”
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ไม่ใช่หรอก เขาพูดถูก” “เพราะอะไร” “เพราะว่าเขาบรรลุธรรมที่สูงกว่า เขาเป็นสกิทาคามี” นี่เป็นพระโสดาบันไง ชั้นของธรรมมันสูงมันต่ำต่างกันไง ถ้าชั้นของธรรมมันสูงมันต่ำแตกต่างกัน เห็นไหมสิ่งที่เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา เขาไม่ได้เพ้อเจ้อ เขาพูดตามความจริงของเขา
ถ้าพูดความจริงของเขา ถึงเกิดเป็นพ่อก็แล้วแต่ พ่อที่มีอำนาจวาสนา พาลูกเข้าวัดเข้าวาให้ลูกประพฤติปฏิบัติไง เวลาลูกชาย เห็นไหม ลูกชายที่ต่อต้าน ต่อต้านพ่อเลย เพราะพ่อศรัทธาในพระพุทธศาสนา พ่อประพฤติปฏิบัติจนได้เป็นพระ-โสดาบันขึ้นมา ได้เอาเงินทองซื้อที่ ซื้อที่ถวายเป็นเชตวันมากมายมหาศาลแต่ลูกชายมันเสียดาย ก็คัดก็ค้านก็ขัดก็แย้งไง ก็เอาเงินนี่จ้าง จ้างให้ไปวัด เวลาจ้างให้ไปวัด ไปวัด เห็นไหม จ้าง กลับมาก็มาเอาเงินเอาทอง เห็นไหม
นี่พูดถึงว่า ในพระพุทธศาสนา ในหัวใจที่มีความคิดแตกต่างกัน มีทิฏฐิมานะมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่แตกต่างกัน เวลาไปวัดไปวาขึ้นมา กลับบ้านก็มาแบมือเอาเงิน มาแบมือเอาเงินไง อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็บอกว่า “ต่อไปนี้ให้จำคำพูดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับมาเล่าให้พ่อฟัง พ่อจะให้อีกสองเท่า”
ทีนี้พอมันจะจำ จะจำ มันจะจำ เห็นไหม มันก็ต้องใช้ความคิดไง พอจะจำไปเวลามันเกิดภาวนามยปัญญา มันเกิดเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจของตน มันแทงทะลุขึ้นมาบรรลุธรรมเป็นโสดาบัน นี่ไง ถ้าเป็นธรรมๆ ในพระพุทธศาสนาเขาวัดกันตรงนี้ เขาวัดกันด้วยสิ่งที่เป็นหัวใจที่บอกว่าอภิชาตบุตร บุตรที่ดีกว่าพ่อกว่าแม่ ในทางโลกสิ่งที่ประสบความสำเร็จทางโลกนั่นก็เป็นโลกธรรม ๘มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ นั้นเป็นเรื่องของวัฏฏะ เป็นเรื่องของโลก
แต่เรื่องของธรรม เรื่องของธรรม เห็นไหม สิ่งที่เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจดวงนี้ มันต้องมีเหตุมีผลของมัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม บุพเพนิวาสา-นุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณไง “มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจของเราไม่ได้เลย” ทำไมเกิดไม่ได้ล่ะ?
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม อาสวักขยญาณ ทำลายฆ่า ฆ่าทำลายวัฏจักรออกไปจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผ่านศึกผ่านสงคราม ผ่านมรรค เวลามรรคฝ่ายเหตุและมรรคฝ่ายผล ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ มันเป็นฝ่ายกิเลส นิโรธดับทุกข์ด้วยมรรค เห็นไหม มันเป็นฝ่ายธรรม มันเป็นสัจจะเป็นความจริง อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นักรบ รบอวิชชา รบกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ้นไป
นักรบ! นักรบผ่านสงครามเป็นทหารผ่านศึก ผ่านศึกผ่านสงครามผ่านการกระทำในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้ามาแล้ว มันถึงเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงมีพระพุทธกับพระธรรมๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม เวลาแสดงธรรมพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม นักรบผ่านศึกผ่านสงคราม ปัญจวัคคีย์อีก ๔ เห็นไหม พระอัสสชิยังไม่ได้ ยังไม่ได้เพราะมันไม่ได้เข้าสู่สงครามไง มันเป็นความจำ
สิ่งที่ฟังมาๆ ฟังมา เห็นไหม นี่ถ่ายทอด เวลาเป็นภาคปริยัติ เวลาภาคปริยัติเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระ-พุทธศาสนา เรามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา เรามาบวชเป็นพระๆ บวชเป็นพระมันต้องมีการศึกษา โลกเขาบอกว่าโลกนี้เจริญ เจริญเพราะการศึกษา ทุกคนต้องมีสติมีปัญญา เราต้องมีทางวิชาการ ต้องมีความรู้ มันถึงจะเอาชีวิตนี้รอดได้ นั่นเป็นสัจจะเป็นความจริง เป็นข้อเท็จจริง
นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระ-พุทธศาสนา เราเกิดมาแล้วเราบวชพระ เราจะศึกษาหาความรู้ของเรา นั้นเป็นภาคปริยัติ มันก็ต้องศึกษาหาความรู้ของเรา ถ้าศึกษาหาความรู้ของเรา สิ่งนี้เป็นธรรมและวินัยขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วของเราล่ะ?
ศึกษาๆ ศึกษามาเป็นทางวิชาการ ถ้าเป็นวิชาการแล้วถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา เราต้องออกประพฤติปฏิบัติ เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ เอาอะไรออกประพฤติปฏิบัติ ก็ต้องเอาหัวใจออกประพฤติปฏิบัติ หัวใจที่จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่ แล้วคนที่จะประพฤติปฏิบัติมันก็อยู่ที่อำนาจวาสนาของคนไง คนที่มีอำนาจวาสนาเขาใฝ่รู้ เขามีการกระทำ เขาเปรียบเทียบของเขา เขาเปรียบเทียบกับความเป็นอยู่ความเป็นจริงในชีวิตจริงของเรา มันทุกข์มันยากขนาดไหน ถ้ามันทุกข์มันยากขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่มันทุกข์มันยากๆ คือผลของวัฏฏะไง
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อนุ-ปุพพิกถา เห็นไหม ถ้าจะโปรดชาวพุทธไง ให้เสียสละทานก่อน ให้เสียสละทานก่อน คำว่า “เสียสละทานก่อน” เราก็เห็นแต่สิ่งที่เป็นวัตถุที่เราเสียสละกันอยู่นี่ไง สิ่งที่เป็นวัตถุที่เราเสียสละอนุโมทนาทานไม่ต้องใช้วัตถุสิ่งใดเลย มันอยู่ที่หัวใจของเขา เขามีบุญมีกุศลของเขา อนุโมทนาของเขา มันเป็นบุญเป็นกุศลในหัวใจดวงนั้นไง
มันเป็นความรู้สึกนึกคิด เห็นไหม มันเป็นเรื่องสัญญาอารมณ์ในหัวใจของตนไง ถ้ามันเป็นธรรมไง แต่โดยข้อเท็จจริงมันเป็นกิเลสไง มันขัดมันแย้ง มันเห็นโต้แย้ง มันไม่ยอมรับความเป็นจริงอะไรทั้งสิ้น แล้วเวลาจะทำทานก็ทำทานที่เป็นวัตถุไง สิ่งที่แสวงหามาๆ ด้วยน้ำพักน้ำแรง เราก็ขาดตกบกพร่องไง แล้วก็ร้องเรียกแต่ความเป็นธรรม ต้องมีความเสมอภาค ความเสมอภาคตรงไหน
กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน คนเกิดมา คนเกิดมาในโลกนี้มันมีความทุกข์ความยากของมันโดยข้อเท็จจริงอยู่แล้ว เพราะสัจธรรมธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นอริยสัจเลย มันเป็นสัจจะเป็นความจริงอยู่แล้ว แล้วเราเองต่างหาก เราแทงทะลุอริยสัจสิ่งนั้นไม่ได้ไงไม่มีกิจจญาณ สัจจญาณ กตญาณ วงรอบ ๑๒ ที่พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมนั้นไง
ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาอย่างนั้น มันจะเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาจากหัวใจของตน เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก แต่ถ้ามันไม่มีอำนาจวาสนาเห็นไหม เราก็ศึกษา เราก็ค้นคว้า เราก็มีการกระทำ เราก็พยายามของเราพยายามแสวงหาสัจจะหาความจริงเพื่อชีวิตนี้ ฟังธรรมๆ ฟังธรรมก็เพื่อหัวใจของเรานี่ไง แต่ฟังธรรม ธรรมะมาจากไหนล่ะ?
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบธรรม เพราะได้รบชนะกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนพญามารคร่ำครวญๆ “เจ้าชายสิทธัตถะจะพ้นจากมือเราไป” พ้น! พ้นแน่นอนอยู่แล้ว พ้นเพราะด้วยอำนาจวาสนาได้สร้างอำนาจวาสนาบารมีมาเป็นพระ-โพธิสัตว์พระโพธิสัตว์ เห็นไหม
เวลาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนี่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่ถ้าจะพ้นจะพ้นมันไปด้วยอาสวัก-ขยญาณทำลายอวิชชา ทำลายครอบครัวของมาร นักรบ ทำลายล้างอวิชชา ทำลายครอบครัวของมาร เห็นไหมเรือน ๓ หลัง เรือนยอดของเรือน ๓ หลัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หักลงแล้ว พอหักลงแล้วจากที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะที่ออกประพฤติปฏิบัติอยู่ ๖ ปี มันทุกข์มันยากขนาดไหน ความทุกข์ความยากขึ้นมาในการประพฤติปฏิบัติไงทุกรกิริยา พยายามต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากด้วยความรู้สึกนึกคิดของพระโพธิสัตว์ๆ
แต่เวลาพระโพธิสัตว์ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา กำหนดอานา-ปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ถ้าลมหายใจเข้าและลมหายใจออก บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ เกิดจากอะไร เกิดจากจิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้สร้างอำนาจวาสนาบารมีมา เวลาจิตมันสงบเข้ามามันเข้าสู่ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณก็เกิดจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จุตูปปาตญาณก็เกิดจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อดีต อนาคต แก้กิเลสไม่ได้ เวลาดึงกลับมาๆ เวลามันเป็นอาสวักขยญาณทำลายอวิชชาไง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ ปัจจยาการที่มันเกิดขึ้นมันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา นักรบ นักรบมันมีการกระทำ ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงกระทำทำอย่างไร เวลาจักรมันเคลื่อน เคลื่อนอย่างไร ถ้ามันเป็นความจริง ความจริงธรรมมันเคลื่อนของมัน มันมีอำนาจวาสนาในการกระทำแบบนั้น การกระทำแบบนั้นเพราะมันไม่มีใครสอน ไม่มีใครชี้นำทางสิ่งนี้ได้
เวลาเจ้าชายสิทธัตถะทำทุกรกิริยา พยายามแสวงหาสัจจะความจริงในใจของตน โดยที่ยังไม่สมบูรณ์แบบของตน เห็นไหม ก็แสวงหาไปกับเขาทั้งสิ้น อุทกดาบส อาฬารดาบส เป็นอาจารย์เดิมของท่านที่ไปศึกษาสมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘สมาบัติก็คือสมาบัติ จิตที่มันสงบก็คือสงบ ฤาษีชีไพร ในการประพฤติปฏิบัติในสมัยพุทธกาลก่อนหน้านั้นมีมากมายมหาศาล จนเขาปฏิญาณตนเป็นศาสดาๆศาสดาคือพระอรหันต์ เจ้าชายสิทธัตถะไปศึกษามาหมดแล้ว มันก็มีความสงสัยมันก็ยังมีความลังเลอยู่ในหัวใจ มันจะไปหันต์ หันต์ไปไหน
เวลามันถูกขุดรากถอนโคน พญามารในใจขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม หลุดพ้น พ้นจากวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพจบสิ้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วไง สั่งสอน ๓ โลกธาตุ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เป็นที่อยู่ของใคร นี่ผลของวัฏฏะ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง
แต่ในปัจจุบันนี้เรามีอำนาจวาสนา ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาไง พระพุทธศาสนา ถ้าเขาไม่สนใจ เขาไม่ใฝ่รู้ เขาไม่ศึกษานั่นก็เป็นกรรมของสัตว์ ทั้งๆ ที่เขาเกิดแล้วเขามีอำนาจวาสนา เพราะ.. เพราะเวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติ วันเวลานี้สำคัญมาก ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ทุกคนต้องสิ้นชีวิตนี้ไปโดยธรรมชาติ แล้วไม่มีอะไรเป็นสมบัติของตน
เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา สิ่งที่เกิดมากับพระพุทธศาสนา สังคมร่มเย็นเป็นสุข เป็นประเพณีวัฒนธรรม อันนี้มันเป็นบุญเป็นกุศลอยู่แล้วแหละ มันเป็นผลของโลกไง เราเกิดมาแล้ว เราก็มีอำนาจวาสนาจะสุขทุกข์ตามอัตภาพของตน ตามอำนาจวาสนาของตน แล้วทำสิ่งใดตามอำนาจวาสนาของตน ถ้ามันมีบุญมีกุศล เห็นไหม สร้างแต่คุณงามความดี เราสร้างแต่ประโยชน์ของเรา เห็นไหม เพื่อชีวิต
ถ้าประพฤติปฏิบัติไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ก็ให้จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะให้มันสั้นเข้าๆ ไม่ให้มันไม่มีต้นไม่มีปลาย การเกิด - การตายไม่มีต้นไม่มีปลายจะเกิดในสถานะใด ในความเห็นใด เพราะเกิดตามแต่อำนาจของกรรม กรรมคือการกระทำ แล้วคนที่ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ไม่มีบุญกุศล ในหัวใจของตน เห็นไหมเวลาสร้างบาปอกุศลก็สร้างทำบาปของเขา
อย่างเช่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสิ้นกิเลสแล้วเป็นศาสดาเป็นผู้อบรมบ่มเพาะ เทวทัต เทวทัตก็เกิดมาในตระกูล ในตระกูลของสัตว์เหมือนกัน สร้างอำนาจวาสนาบารมีมา แต่เวลาถึงที่สุดแล้วด้วยเวรด้วยกรรม กรรมของสัตว์ไง เวลามาบวชเป็นพระอยู่ในพระพุทธศาสนาอยากมีอำนาจ อยากจะปกครองสงฆ์ อยากจะชิงอำนาจจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า
ทำไมไม่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มันเป็นธรรมในหัวใจล่ะ ไปชิงอำนาจขึ้นมาจะทำอย่างไร นั่นล่ะสร้างเวรสร้างกรรม เห็นไหม ธรณีสูบสดๆ ร้อนๆ เลย
เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ใครทำคุณงามความดีเป็นบุญกุศลก็เป็นบุญกุศลของเขา ใครทุจริต ใครทำโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากโดยเบียดเบียน โดยทำร้ายใคร นั่นก็กรรมของสัตว์ เขาเกิดมาเหมือนกัน เป็นคนเหมือนกัน เวลาสร้าง สร้างคุณงามความดี ทำดีไม่ได้ดีๆ ทำดีก็เป็นความดีในใจในเหตุการกระทำนั้นในตัวของมันอยู่แล้ว ทำชั่วๆ มันก็ชั่วมันก็สมบูรณ์แบบในหัวใจของมันอยู่แล้ว มันสมบูรณ์แบบในการกระทำ แล้วมันจะให้ผลเมื่อไหร่ล่ะ
ก็นี่กลับมาที่การประพฤติปฏิบัติของเรานี่ไง กรรมเก่า กรรมใหม่ บัว ๔ เหล่าผู้ที่ขิปปาภิญญา ผู้ที่ปฏิบัติง่าย - รู้ง่าย มันก็มี แต่ผู้ที่ปฏิบัติง่าย - รู้ง่าย มันก็ต้องเป็นสัจจะเป็นความจริงเหมือนกัน ผู้ปฏิบัติยาก - รู้ยากเยอะแยะไปหมด ผู้ที่ปฏิบัติปฏิบัติออกนอกลู่นอกทางไปมากมายมหาศาล นี่กรรมของสัตว์ไง
แต่ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนา เขามีสัจจะมีความสัตย์ในใจของตน ถ้าตั้งสัจจะจะทำสิ่งใดต้องทำให้ได้สิ่งนั้น ถ้าทำสิ่งนั้นถ้าทำอย่างนั้นไม่ได้ ก็พิสูจน์ตรวจสอบอยู่อย่างนั้นไง ถ้าพิสูจน์ตรวจสอบ เห็นไหม กึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่งไง เจริญอีกหนหนึ่งเพราะต้องมีครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ มีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นที่ท่านมาประพฤติปฏิบัติของท่านเห็นไหม ท่านก็เป็นนักรบ
นักรบๆ เอาสัจจะ เอาความจริง เอาหัวใจรบ เอาหัวใจ เอาสัจธรรม เอาศีลเอาสมาธิ เอาปัญญาเข้าไปค้นคว้าแสวงหาตรวจสอบ ถ้าจิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันเห็นกิเลส มันรู้จักกิเลส
กิเลส เห็นไหม เวลาทำความสงบของใจขึ้นมาแทบเป็นแทบตาย ถ้ามันแทบเป็นแทบตายแล้วแทบเป็นแทบตายมันก็มีความสุขของมัน ถ้าความสุขอย่างนี้ ถ้าจิตมันสงบแล้ว ถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนา มันจะมีความสุขมากมายกว่านี้มากมายขนาดไหน ถ้ามันทำความเป็นจริงได้ ถ้าทำเป็นจริงนะ รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง เราลิ้มรสสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ ผัสสะรับรู้ได้ทั้งสิ้น ผัสสะรับรู้ได้ทั้งสิ้นมันก็รับรู้ด้วยปุถุชนคนหนา มันไม่ได้ผัสสะในหัวใจของตนหรอก
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเอาชฎิล ๓ พี่น้องไง เขาสำคัญตนว่าเขาเป็นพระอรหันต์ เขาเป็นพราหมณ์บูชาไฟ อยู่ในสมัยปัจจุบันนี้ที่พราหมณ์เขาทำกันอยู่อย่างนี้แหละ การเพ่ง เพ่งกสิณ การทำความสงบมันก็เป็นอภิญญาได้ ดูสิ เขาบูชาไฟของเขา เขามีพญานาคในเรือนไฟของเขา เวลาองค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปพักไง เอาพญานาคเอาไว้ในบาตรเลย เขาจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่โดยฤทธิ์โดยเดชของเขาไง
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย “เธอไม่ใช่พระอรหันต์” ไม่ใช่พระอรหันต์เพราะมันไม่ใช่นักรบ การบูชาไฟ การประพฤติปฏิบัติ การเพ่งกสิณมันส่งออกหมด การส่งออกเหมือนกับรับรู้ในหัวใจของเรานี่ไง เราเป็นมนุษย์ใช่ไหม ลืมตาสิ เราเห็นทุกอย่างหมดเลย หลับตาไม่เห็นอะไรเลย ไอ้นี่มันข้อเท็จจริงไง แต่ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปอบรมบ่มเพาะเขา “เธอไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะเธอไม่ใช่นักรบ เธอหลับตา เธอลืมตา เธอก็เห็นของเธออยู่อย่างนั้น”
เวลาเขาลงใจ พอเขาลงใจแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าสงเคราะห์เขาไง เทศน์อาทิตฯ เห็นไหม มโนวิญฺญา-เณปิ นิพฺพินฺทติ มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ สิ่งที่มโนคือใจของเรา มันก็เป็นของร้อน พอเป็นของร้อน พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนี่แหละ พุทธะ ทำความสงบใจเข้ามา ใจของเรามัน มโนวิญฺญา-เณปินิพฺพินฺทติ มันก็น่าเบื่อหน่าย เพราะอะไร เพราะจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีอวิชชาของมัน มันต้องขับเคลื่อนให้เกิดให้ตายของมันไม่มีต้นไม่มีปลายอยู่แล้วมโนสัมผัส อารมณ์ความรู้สึก มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ
สิ่งที่จิตของเรามันก็น่าเบื่อหน่ายเพราะอะไร เพราะเราควบคุมมันไม่ได้ เราจับต้องมันไม่ได้ เราไม่มีกำลังของเรา ทั้งๆ ที่เป็นพราหมณ์ เห็นไหม บูชาไฟ บูชาไฟก็ต้องเพ่งกสิณอยู่อย่างนั้น ก็ต้องรักษาอย่างนั้น คนที่ภาวนาเป็น สมาบัติ ๖สมาบัติ ๘ ทำอย่างไร
ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติท่านผ่านมาหมดแล้วแหละ สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ก็คือสมาบัติไง สมาบัติทำแล้วมันเป็นอภิญญา มันมีกำลังของมัน คนทำได้เขาก็รู้รู้แล้วไม่หลงด้วย รู้แล้วปล่อยไว้ตามความเป็นจริง เพราะรู้แล้ว เพราะได้หลง ได้เผชิญไปกับมัน ให้มันลากถูลู่ถูกังไปมาตลอดอยู่แล้ว สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘สมาบัติก็คือสมาบัติ สิ่งที่ว่าบูชาไฟๆ เพ่งกสิณ มันก็ได้อย่างนั้น
แต่ถ้าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตาเป็นของร้อน กายเป็นของร้อน ความสัมผัสเป็นของร้อน ร้อนเพราะอะไร โทสัคคินา โมหัคคินา ร้อนเพราะไฟ ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะไง ฟังอาทิตฯ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชฎิล ๓พี่น้องเป็นพระอรหันต์หมดเลย
ตอนนี้เป็นพระอรหันต์จริงๆ แล้ว เพราะเป็นนักรบได้เข้าไปเผชิญกับสัจจะความจริงไง ได้เข้าไปเผชิญกับหัวใจของตนไง ได้ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงไง ถ้าเป็นสัจจะความจริงด้วยอะไร ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญาที่เกิดขึ้นจากการกระทำ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นอาวุธ เป็นการเข้าไปต่อกรกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน แต่! ต้องมีครูบาอาจารย์ที่ดีงาม
หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติของท่าน ท่านการกระทำของท่าน สิ่งที่ว่าท่านเป็นนักรบ นักรบ เห็นไหม รบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตนกว่าจะรบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน เอาอะไรไปรบ ท่านถึงอบรมบ่มเพาะวางวัตรปฏิบัติไว้เป็นเครื่องอยู่ของใจๆ ใจของเรานี่แหละ ใจที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ใจที่เกิดมาเป็นมนุษย์
พอเกิดเป็นมนุษย์ เป็นปุถุชนคนหนา ปุถุชนคนหนา เราก็พ่ายแพ้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันอยู่บนหัวใจของเรา เพราะมันอยู่บนหัวใจของเราแล้วมันก็หลอก มันก็ใช้ มันก็อิด มันก็ออด มันก็อ้อน มันก็ปลิ้น มันก็ปล้อน เราไหลตามมันไปทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่ฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งๆที่เป็นชาวพุทธ ทั้งๆ ที่ว่าถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันเป็นพระพุทธ พระจำไม่ใช่พระธรรม มันจำสิ่งนั้นมา มันไม่ใช่สัจจะ ไม่เป็นความจริงไง
หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านถึงสอนบอกว่า “ให้ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน” ถ้าใจมันสงบระงับเข้ามา เห็นไหม มันเป็นอิสระ มันเป็นอิสระจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันถึงสงบได้ ที่มันทำความสงบได้ยาก ทำความสงบได้ยากเพราะกิเลสครอบงำหัวใจ แล้วมันขับไสให้เราทุกข์เรายากอยู่อย่างนี้ แล้วพระพุทธ พระจำ ก็จำมาก็อยากจะเป็นมรรคจะเป็นผลขึ้นมา จะทำให้เป็นความจริงขึ้นมา ไม่เป็น มันเป็นกิเลส
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ของเรา เป็นนักรบๆ รบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน แต่ของเรา เรากิเลสมันซ้อนไง กิเลสมันซ้อน พระพุทธ พระจำ เพราะจำสิ่งนั้นมา พอจำสิ่งนั้นกิเลสมันพลิกมันแพลงขึ้นมา เพราะนักรบๆ มันเป็นข้อเท็จจริงนะ ถ้าข้อเท็จจริง เห็นไหม ทหารผ่านศึกเขาได้ผ่านศึกมา ผ่านศึกมา เวลาศึกสงครามเกิดขึ้นมา เวลาเกิดสงครามแล้ว เวลาเข้าในภาวะสงคราม ภาวะสงครามตามข้อเท็จจริง
เอาแพ้เอาชนะกันโดยศึกโดยสงคราม มันเผลอไผลไม่ได้เลย ทุกอย่างมันถึงเสียกับชีวิตทั้งสิ้น เพราะนักรบ เกิดสงครามการเอาแพ้เอาชนะไม่มีกติกา คำว่า“กติกา” สงครามนั้นเป็นกติกาที่เขียนไว้ แต่เวลาเอาข้อเท็จจริงขึ้นไปแล้ว เวลาข้อเท็จจริงขึ้นมา ถ้าผ่านสงครามคือได้ประหารได้ฆ่า ฆ่าอะไร ฆ่ากิเลสในใจของตนฆ่าพญามาร ครอบครัวของมาร ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงไง
แต่ถ้าเป็นพระพุทธ พระจำ มันเป็นกิเลสซ้อมรบ ดูสิ เวลาทหารทั้งมากมายมหาศาลที่ไม่เคยผ่านสงครามเลย ทหารที่ไม่เคยผ่านสงครามเขาก็ออกซ้อมรบนะเขาเป็นทหาร เขาเป็นนักรบ แต่รบโดยแผนที่ รบโดยการฝึกหัด ไม่เคยเจอกิเลสไม่รู้จักกิเลส ไม่เคยเห็นกิเลสเลย เวลากิเลสมันซ้อนแผน ซับซ้อนๆ ไง เวลาคนที่เกิดมามีอำนาจวาสนาขึ้นมานะ เขาก็อยากจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติให้ตามข้อเท็จจริง
แล้วตามข้อเท็จจริง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า เป็นนักรบพระองค์แรกแล้วเย้ยมาร “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจของเราไม่ได้เลย ไม่ได้เลย” แล้วไม่ได้ ไม่ได้อย่างไร
ถ้าไม่ได้ ทำไมเวลาเทศน์ธัมมจักฯ “ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ” ทางสองส่วนเลย เพราะคนที่ประพฤติปฏิบัติมันจะตกไปข้างใดข้างหนึ่งแน่นอน ถ้ามันตกไปทางข้างใดข้างหนึ่งแน่นอน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงทำความสงบของใจเข้ามา เพราะฌานสมาบัติมันมีของมันอยู่แล้ว ฌานสมาบัติ เวลามันประพฤติปฏิบัติตกไปข้างใดข้างหนึ่ง เวลาตกไปข้างที่อัตตกิลม-ถานุโยคก็ทุกข์ของมันอยู่อย่างนั้นๆ
นี่ก็เหมือนกัน จิตไม่สงบมันก็ทุกข์ของมันอยู่อย่างนั้น พอจิตสงบแล้วมันก็ติดในความสงบของมันไง แล้วถ้ามันเป็นการเพ่งกสิณ มันเป็นอำนาจวาสนาที่ได้ฝึกฝนมา มันก็จะเข้าสู่อภิญญา เข้าไปแล้วมันก็เป็นโลกทั้งสิ้น ถ้าเป็นโลกมันก็เป็นโลกียะไง มันไม่เข้าสู่ทางสายกลาง
แต่ถ้ามันจะเข้าสู่ทางสายกลางๆ เห็นไหม ทางสายกลางในพระพุทธศาสนาก็ต้องฝึกหัดทำความสงบเข้ามาให้มั่นคงก่อน ถ้าใจมันมั่นคงแล้ว เห็นไหม ให้ขุดคุ้ย ให้ค้นคว้า ให้แสวงหา ถ้าขุดคุ้ย ค้นคว้า แสวงหา เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา มันถึงจะเป็นสายกลางในพระพุทธศาสนา ในสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานคือความรู้แจ้งกิเลสในใจของตน มันแทงทะลุกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม นี่นักรบ
แต่ถ้ามันซ้อมรบๆ ซ้อมรบนี่มันสร้างค่าเอง เวลาซ้อมรบนะ ซ้อมรบในแผนที่ในเอกสารก็เรื่องหนึ่ง ซ้อมรบๆ เขาต้องมีข้าศึกสมมุติไง แล้วซ้อมรบขึ้นมา ในการซ้อมรบจะซ้อมรบในสถานการณ์อะไร จะสร้างอย่างไร กิเลสมันสร้างให้หมดเลย พระพุทธ พระจำ พระสงฆ์ มันเป็นความจำๆ มันไม่ใช่ความจริง ถ้ามันเป็นความจำไม่ใช่ความจริง มันไม่เคยเห็นกิเลสตัวจริงๆ ไง
ทหารที่ไม่เคยผ่านศึกสงครามเลย มันไม่ใช่ทหารผ่านศึก มันเป็นทหารอาชีพแต่ไม่เคยออกศึกออกสงครามใดๆ เลย ถ้าไม่เคยออกศึกออกสงครามใดๆ เลยมันก็คือพวกภาวนาไม่เป็นไง ถ้าภาวนาไม่เป็นมันก็ไม่เป็นวันยังค่ำนะ
ถ้าภาวนาเป็น เห็นไหม เราฝึกหัด เห็นไหม ทหารฝึกหัดๆ แล้วซ้อมรบ แล้วถ้ามีข้าศึกมีสงครามขึ้นมา ถ้าได้ออกรบตามความเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม ถ้าได้ออกรบตามความเป็นจริงขึ้นมา ข้าศึก ถ้าเข้าไปอยู่ในวงล้อมของข้าศึกตายหมดล่ะ
แล้วในการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เวลากิเลส กิเลสมันมีอยู่โดยดั้งเดิมอยู่แล้ว กิเลสมันอยู่ในหัวใจของเราอยู่แล้ว ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เราก็ไปจำมา แผนที่มันไม่ใช่ตัวจริง ถ้าไม่ใช่ตัวจริง ศึกสงครามมันเกิดขึ้นมาไม่ได้หรอก
ศึกสงครามจะเกิดได้ เห็นไหม หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอบรมบ่มเพาะพวกเรามาไง ทำความสงบของใจเข้ามาก่อนๆ ถ้าใจสงบระงับแล้วให้ขุดให้คุ้ยให้แสวงหา กิเลสมันไม่เดินเข้ามาให้เราจับหรอก แล้วกิเลสมันไม่บอกว่ามันยอมแพ้แล้วมันจะให้เรามีความสุขหรอก
สิ่งที่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติไง เวลากิเลสมันจะซ้อมรบไง มันจัดการให้อย่างดีเลย จัดการให้ทุกอย่างเลย เพราะ... เพราะเป็นการซ้อม มันเป็นการซ้อมรบ มันถึงไม่ใช่นักรบ ถ้าเป็นนักรบๆ นักรบ เห็นไหม สิ่งที่เกิดศึกเกิดสงครามนี้มันเกิดเพราะการขัดแย้ง มีการขัดแย้งมีการแย่งชิงผลประโยชน์ต่างๆ กัน นั่นเป็นเรื่องทางโลก
แต่เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราเกิดมา เรามีอวิชชาอยู่แล้ว ยืนยันโดยข้อเท็จจริง ถ้าไม่มีอวิชชา ไม่มีกิเลส เราไม่มาเกิดเป็นคนหรอกไม่เกิดเป็นเทวดา ไม่เกิดเป็นพรหมด้วย เทวดา อินทร์ พรหม สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเพราะมันมีกิเลสไง เพราะมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันเป็นต้นเหตุถึงทำให้จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
จิตเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เสวยภพไง กำเนิด ๔ ในครรภ์ ในไข่ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ เวลากำเนิด กำเนิดจากอะไร กำเนิดจากกรรมเก่ากรรมใหม่นี่ไง กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันไง กรรมดีและกรรมชั่วนี่ไงกรรมดีและกรรมชั่ว ในพระพุทธศาสนาสอนให้เชื่อกรรมดี กรรมชั่ว สอนให้เรื่องกรรม เรื่องการกระทำ ไม่ได้สอนเรื่องอื่นเลย
เวลาการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม เราก็มีคำบริกรรมพุทโธๆๆ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ นี่ก็คือมโนกรรม มโนกรรมคือการงานของใจไง มโนกรรมคือการกระทำของมโนของใจ ใจที่การกระทำเพื่อให้ใจมันสงบระงับให้ใจมันตั้งมั่นได้ ให้ใจมันฟื้นตัวขึ้นมาได้ สัมมาสมาธิไง สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มีไง จิตสงบเห็นไหม นักรบๆ เวลาเขาจะออกศึกของเขา เขาต้องมีอาวุธ เขาต้องมีสติ มีปัญญา มีการวางแผน มีฝ่ายเสธ. ฝ่ายสนับสนุน ฝ่ายต่างๆ ร้อยแปด
นี่ก็เหมือนกัน เราจะทำความสงบของใจ เรามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา ถ้ามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธ-ศาสนา แล้วเราจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเราจะฝึกหัดขึ้นมาให้มันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา มันจะทุกข์มันจะยากขนาดไหน กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา คนที่เขาทำของเขา เขาได้สร้างอำนาจวาสนาของเขา เขาทำความสงบของเขาได้ง่าย แล้วเวลาทำความสงบได้แล้วเขาชำนาญในวสี ชำนาญในการรักษาด้วย
สมาธิคือสมาธิ สมาธิเกิดจากเหตุ เหตุคือมีสติ เหตุจากมีคำบริกรรม เหตุจากเกิดปัญญาอบรมสมาธิ มันต้องมีเหตุมีผลของมัน แล้วทำสมาธิแล้วพอจิตสงบแล้วจะเห็นนิมิต จะมีความรู้ความเห็นต่างๆ ทั้งนั้น ทั้งนั้นเพราะมันเป็นจริตนิสัย
ดูสิ ดูอาหารมันก็มีแตกต่างหลากหลายใช่ไหม เวลาจริตนิสัยของคนมีความชอบต่างๆ มันก็แตกต่างกันใช่ไหม แล้วเวลามันแตกต่างกัน มันแตกต่างเพราะอะไรล่ะ มันแตกต่างมโนกรรมไง “เวลาเธอย้ำคิดย้ำทำจะเป็นจริตเป็นนิสัยของเธอ” เวลาย้ำคิดย้ำทำ มันก็คิด มันก็ย้ำ มันก็ย้ำคิดย้ำทำในใจอันนั้น แล้วเวลามันมีการกระทำ กรรมมีการกระทำ
เวลาอนันตริยกรรม อนันตริยกรรมทำสงฆ์ให้แตกแยก ทำให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิตไง ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าครูบาอาจารย์ เห็นไหม ฆ่าพระอรหันต์ อนันตริยกรรม ทำไมเป็นอนันตริยกรรมล่ะ? กรรมมันรุนแรงๆ แม้แต่ในชาติปัจจุบันนี้ถ้าเราได้ทำกรรมหนักไว้นี่ตาลยอดด้วน มันจะทำคุณงามความดี คุณงามความดีจากการกระทำ จากปลายอ้อปลายแขม จากที่เราประพฤติปฏิบัตินี่มันไม่เข้าสู่หัวใจเลย เวลามีการกระทำขนาดนั้นนี่อนันตริยกรรม เวลากรรมหนักๆ ก็เป็นเรื่องหนึ่ง
แล้วทำคุณความดีๆ ล่ะ นี่เป็นกรรมดี กรรมดีและกรรมชั่ว เวลากรรมดีและกรรมชั่ว เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันสมดุลพอดีขึ้นมา เห็นไหม มันก็จะสงบระงับเข้ามาด้วยการกระทำ ด้วยมโนกรรม ด้วยการกระทำ ด้วยคำบริกรรม เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาขึ้นมาในภาคปฏิบัติๆ นะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ ด้วยหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแทงทะลุหมดเลย อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า การกระทำอันนั้นเป็นการกระทำที่เป็นสัจจะเป็นความจริง เป็นนักรบพระองค์แรก แล้วรบโดยมรรค ๘ รบโดยดำริชอบงานชอบ เพียรชอบ ความชอบธรรมอันนั้น
เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะ ทางสายกลางในพระพุทธ-ศาสนา ธรรมจักรไงดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ เพราะอะไร เพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมสายกลาง ธรรมสายกลางคืออะไร มคฺโค ทางอันเอก ทางสายกลางในพระพุทธศาสนา ดำริชอบ ดำริคือความธรรมที่ถูกต้องชอบธรรม สติชอบสมาธิชอบ งานชอบ งานชอบนี้สำคัญมากหน้าที่การงานไง
เวลาทางโลกอาบเหงื่อต่างน้ำทำหน้าที่การงานของตน เพื่อหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เวลาจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เพราะว่าในพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งพระอานนท์ไว้เลย “อานนท์ เธอบอกเขานะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด” ปฏิบัติบูชาไง ฝึกหัด ฝึกหัดให้มีสติฝึกหัดทำความสงบใจเข้ามา ฝึกหัดใช้ภาวนามยปัญญาให้มันเกิดขึ้น
เพราะปฏิบัติบูชาเราเถิด เพราะถ้ามันปฏิบัติด้วยมรรค ๘ ปฏิบัติด้วยความถูกต้องชอบธรรมมีกิจจญาณ มีสัจจญาณ กตญาณในหัวใจ วงรอบ ๑๒ เขาจะได้เป็นพระโสดาบัน เขาจะได้ผลของการประพฤติปฏิบัติไง เห็นไหม นักรบ เวลานักรบๆ รบจริงๆ รบด้วยมรรคด้วยผล ด้วยมรรคผลมันไม่มีหาซื้อหาขายได้ที่ไหนทั้งสิ้น มันเป็นผลจากการประพฤติปฏิบัติไง จิตตภาวนาๆ
เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา เรามีครูมีอาจารย์ไง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นนักรบมาก่อน เวลาท่านอบรมบ่มเพาะ ท่านถึงให้เรารบด้วยความเป็นจริงในหัวใจของเราแล้วทำให้ขึ้นมาเป็นความจริงขึ้นมา ในภาคปัจจุบันนี้เวลาลูกศิษย์ลูกหา ไอ้พวกแซงหน้าแซงหลัง มันเป็นการซ้อมรบ มันอ้างมันอิง เห็นไหม พระพุทธ พระจำพระสงฆ์ พระจำไม่ใช่พระธรรม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม กราบธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ เห็นไหม พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ได้เป็นพระโสดาบันทั้งสิ้น แสดงอนัตตลักขณสูตรเป็นพระอรหันต์ ๕ องค์ ไปได้ยสะอีก๕๕ เห็นไหม ๖๐ องค์พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์
ถ้ามีพระธรรมๆ พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ บ่วงที่เป็นทิพย์ ชื่อเสียง กิตติศัพท์ กิตติคุณ ทิพย-สมบัติ พ้นหมดเพราะอะไร พระธรรมๆ สัจธรรมในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจธรรมในใจของพระอรหันต์มันมีคุณค่า ถ้ามันมีคุณค่าแล้วมันมีคุณค่าในตัวมันเอง วิมุตติสุขไง ถ้ามันวิมุตติสุขวิหารธรรมในใจแล้วโลกธรรม ๘ มีค่าอะไร มันไม่มีค่าเลย แล้วถ้ามันไม่มีค่าเพราะมันไม่มีค่า เพราะหัวใจมันไม่เอา ถ้าเป็นพระธรรม
แต่ถ้าเป็นพระจำ พระจำๆ เพราะมันหิวมันกระหายไง ในหัวใจมันมีหิวมันกระหาย มันอยากดัง มันอยากให้คนรู้จัก มันอยากไปหมด พระจำ
แต่ถ้าเป็นพระธรรมมันไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว มันไม่มีการแสวงหาสิ่งที่เป็นโลกไร้สาระ มันเป็นภาระ เวลาคนเกิดมาต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยใช่ไหม พระก็ต้องเช้าบิณฑบาตเลี้ยงชีพ เจ็บไข้ได้ป่วยก็ไปหาหมอ ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยแล้ววิหารธรรมถ้าเป็นธรรมโอสถกำหนดพุทโธๆ หายหมดเลย เวลาหายหมดเลย เห็นไหม
แต่ชีวิตนี้ก็มีการพลัดพรากเป็นที่สุด โดยธรรมชาติของมัน ชีวิตนี้ก็ต้องสิ้นชีวิตนี้ไป สิ้นชีวิตนี้ไปแบบกิเลสซ้อมรบ ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติเข้มข้นเข้มงวดโดยกิเลสหมดเลย กิเลสมันซ้อนไง เป็นพระจำไง พระพุทธ พระจำ พระสงฆ์ ไม่ใช่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ถ้ามันเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันเป็นสัจธรรม แค่ทำความสงบของใจ เราก็ซื่อสัตย์แล้ว เพราะอะไร เพราะสุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี จิตสงบระงับแล้ว องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าจิตตภาวนา จิตดวงนี้พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทำความสงบของใจแล้วมันรู้ มันตื่น มันเบิกบานของมัน แล้วมันขุดคุ้ยค้นคว้าค้นหากิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน
ถ้าคนไม่มีอำนาจวาสนาจับพลัดจับผลูๆ หากิเลสไม่เจอ หากิเลสไม่เจอแล้วบอกมันไม่มี มันไม่มีแล้วทำความสงบของใจเข้ามาแล้วว่างๆ อย่างนี้คือคุณธรรมคือสิ้นกิเลส มีอำนาจวาสนาแค่นั้น มันก็เป็นวาสนาของคน
แต่ถ้ามีอำนาจวาสนา เวลาจิตมันสงบระงับแล้วมันขุดมันคุ้ย มันค้นมันคว้าของมัน มันเห็นของมัน เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริงขนพองสยองเกล้า
เราไม่รู้ว่ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันอยู่ไหน แล้วเวลาจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันมีร่างกายเหมือนเราที่ไหนไม่เห็นมี แล้วเวลามาเกิดเป็นเรา เรามีกายกับใจๆ แล้วร่างกายนี้ก็ชราคร่ำคร่าไปตลอด แล้วหัวใจมันชราคร่ำคร่าหรือไม่ มันเป็นเพราะอายุขัยไง ๑๐๐ ปีก็ตายไป พอตายไปแล้วจิตมันไปไหน มันก็ไปเกิดอีกแล้วเพราะอะไร เพราะมันมีความไม่รู้ในตัวมันไง มันไม่รู้จะไปไหน มันก็ล่องลอยไปเกิดตามอำนาจของมันไง
แต่ในปัจจุบันนี้เราเกิดมามีกายกับใจ กายกับใจ ไอ้กายที่ว่าจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะที่ว่าจับต้องไม่ได้ เราพยายามฝึกหัดของเรา เราพยายามประพฤติปฏิบัติของเรา เราค้นคว้าหาของเราให้ได้ เรารู้ได้ต่อเมื่อมันเป็นอารมณ์ความรู้สึก มันรู้ได้แต่สัมผัส ลมพัด มีความรู้สึก ผัสสะมีความรู้สึก เวลาชอบสิ่งใดต้องการสิ่งใด เวลามันต้องการมันแสวงหาในใจไม่รู้เท่าทัน
ถ้าจิตสงบแล้วถ้ามันจับอารมณ์ความรู้สึกไง กาย เวทนา จิต ธรรม สิ่งที่อารมณ์ความรู้สึกเป็นรูป อารมณ์ความรู้สึกของคนมันเป็นวัตถุเลยล่ะ ถ้ามันจับมันต้องได้ มันแยกมันแยะของมันได้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแยกแยะไว้เลย รูปกับนาม เวลาเป็นรูปๆ เป็นธาตุ ๔ เป็นรูป เห็นไหมมหาภูตรูป เห็นไหม ดิน น้ำ ลม ไฟ สิ่งที่จับต้องได้แล้วเราเห็นด้วยตาเปล่าตลอดเวลา เราก็รับรู้ได้ ถ้าศึกษาธรรมะเป็น พระพุทธ พระจำมา เราจำมา เราจำมาแต่เราทำของเราขึ้นมาให้เป็นความจริงขึ้นมาไม่ได้ ถ้าเป็นความจริงไม่ได้มันก็ไม่ใช่นักรบ
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นนักรบท่านเป็นนักรบเพราะท่านเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นธรรมเป็นสัจจะเป็นความจริงท่านจับต้องของท่านได้ อย่างที่ว่า สิ่งที่อารมณ์ความรู้สึกเป็นรูปอันหนึ่ง เป็นรูปเลยล่ะ จับต้องได้เลยล่ะ ถ้าจับต้องได้ ถ้าจับต้องได้แล้วเวลามันแยกออกไง เวลาอารมณ์ความรู้สึกมันก็เป็นความคิด ความคิดที่เป็นความทุกข์ความสุขถ้ามันจับต้องได้แล้วมันประกอบไปด้วยอะไรล่ะ ที่ว่ากายกับใจมันประกอบไปด้วยอะไรอารมณ์ความรู้สึกประกอบด้วยอะไร
รูป มันก็มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รูปมันมีความรู้สึกไง เวทนาไงดีหรือชั่ว ชอบหรือชัง นี่เวทนา สัญญา สัญญาเทียบค่า สัญญาเทียบค่าเลยนะเพราะมันเป็นสัญญา สัญญา สังขารปรุง สังขารแต่ง แต่งต่อเนื่องไป นี่วิญญาณรับรู้ในอารมณ์นั้น อารมณ์ๆ หนึ่ง อารมณ์หนึ่ง เห็นไหม วิญญาณรับรู้ที่ความคิดเกิดดับๆ อารมณ์หนึ่งๆ มากมายมหาศาล
ถ้าจิตมันสงบ ถ้ามันจับต้องของมันได้ ถ้าจับต้องได้แล้วมันแยกแยะได้ มันแยกแยะได้ด้วยความเป็นจริงของมันได้ เราแยกของเราๆ นี่จะเป็นนักรบ ไม่ใช่ซ้อมรบ ซ้อมรบมันจับต้องสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เลย มันเป็นการจำมา มันเป็นทางวิชาการ จะซ้อมกันบนแผนที่ ธรรมและวินัยไง พระไตรปิฎกไง ถ้าจำจากครูบาอาจารย์มา เราก็จำมา พอจำมา จำมา สิ่งที่จำมาแล้วเวลาทำไปนี่มันเป็นสัญญาจำมาแล้วนะ ซ้อมรบ มันก็สร้างเป็นรูปแบบ เป็นสร้าง เห็นไหม
เวลาหลวงปู่มั่นท่านบอก “ต่อไปนี่มันมีไอ้พวกแซงหน้าแซงหลัง พวกที่เดินตามก็มี” ถ้าเดินตามก็เป็นนักรบไง จะเข้าไปแสวงหา เข้าไปพิสูจน์ในกายกับใจของเรา เวลาจิตตภาวนาๆ จิตตภาวนาจิตก็ค้นคว้าหาจิตของตน ถ้าจิตสงบแล้วถ้ามันพิจารณากายเห็นกายของตน มันก็ค้นคว้าในกายของตน ถ้ามันพิจารณาเวทนา พิจารณาจิต มันก็พิจารณาในหัวใจของตน
เวลาพิจารณาขึ้นมา เห็นไหม เวลากิเลสมันชำแรกเข้าไปอยู่ในใจและกายของเราทั้งสิ้น ในกายและใจอยู่ใต้อาณัติของกิเลสทั้งสิ้น เวลาอยู่ใต้อาณัติทั้งสิ้นเห็นไหม ถ้าเราไม่มีอำนาจวาสนา หรือไม่มีกำลังที่จะมีอำนาจวาสนาพอ เราก็ยอมจำนนอยู่กับมันไง ถ้ายอมจำนนอยู่กับมัน เห็นไหม ไอ้พวกแซงหน้าแซงหลังขึ้นมา มันก็พลิกกลับ เอาพระจำมาเป็นเครื่องมือแล้วก็แยกแยะ ซ้อมรบ ซ้อมรบมันสร้างเลยนะ สร้างเพื่อจะซ้อมรบในสถานการณ์ จะเข้ายึดเมือง จะเข้าปกป้องเมือง จะเข้าสิ่งใด มันซ้อมรบมันไม่เป็นความจริง
ถ้ามันเป็นความจริงนะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเวลาท่านสอน ท่านสอนเฉพาะบุคคล เวลาเทศนาว่าการบนศาลานี่ เห็นไหม บนศาลานี่เทศนาว่าการแกงหม้อใหญ่ มันเป็นข้อเท็จจริงไง มันเป็นข้อเท็จจริง “ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ” ใช่! มันเป็นธรรมชาติ แต่ธรรมชาติของใครล่ะ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ฝนตกแดดออกนี่ไงธรรมชาติ กิเลสของคนก็เป็นธรรมชาติ
แต่! แต่นักรบไปเจออะไร เห็นอะไร รู้อะไร ถ้าที่รู้ที่เห็นนั้นน่ะ ที่รู้ที่เห็น เห็นโดยอะไร?
ถ้าเห็นโดยจิตของเรา เห็นโดยสัญญาของเรา ส่วนใหญ่แล้วเวลาธรรมเกิดๆไง เพราะ... เพราะจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะได้สร้างเวรสร้างกรรมของเขามา ใครสร้างเวรสร้างกรรมมามากน้อยขนาดไหน เวลาจิตมันสงบแล้วเห็นนิมิตต่างๆ เห็นความรู้สึกต่างๆ อันนั้นมันเป็นประสบการณ์ของจิตนั้น ถ้าประสบการณ์ของจิตนั้นเรารู้แล้วเราวางไว้ ถ้าคนมีวาสนานะ เรารู้สิ่งใดเราก็วางๆ ความรู้นั้นก็เท่ากับทำความสะอาดใจของตนไง
ใจของเรา เห็นไหม มันรับมันรู้ มันมีเวรมีกรรมของมัน มันถึงได้มีสถานะอย่างนั้น แล้วมันรู้เห็นอย่างนั้น ความรู้เห็นอย่างนั้น เห็นไหม เหมือนกับเราจะเดินทาง เราจะเดินทาง เราต้องมีเป้าหมายว่าเราจะไปที่ใด แต่เวลาที่เราเดินทาง สิ่งที่หนทางนั้นมันจะประกอบไปด้วยสิ่งที่ยวนเย้า สิ่งที่รับรู้ร้อยแปดพันเก้า จิตของคนก็เหมือนกัน เวลาจิตของคนขึ้นมา เห็นไหม เวลาเริ่มฝึกหัดภาวนาขึ้นมา ถ้าฝึกหัดทำความสงบของใจเข้ามา ด้วยกรรมของสัตว์ มันจะรู้มันจะเห็นสิ่งใดขึ้นมา นั้นคือภาพข้างทาง สิ่งที่เป้าหมายของเราคือเราต้องการทำความสงบของใจดวงนั้น
ถ้าทำความสงบของใจดวงนั้น ดวงนั้นคือดวงของเราเนี่ย เราก็มีสติมีปัญญาดูแลรักษาในการบริกรรม การดำเนินต่อเนื่องให้จิตมันดำเนินไป สิ่งที่รู้ที่เห็นก็วางๆ ไง แต่! แต่คนที่ไม่มีวาสนามันเห็นสิ่งใดแล้วมันติด ถ้าสิ่งใดมันติดมากหรือติดน้อยก็แล้วแต่ หรือความพอใจทำให้เราเนิ่นช้าอยู่อย่างนั้น มันก็จะติดอยู่อย่างนั้น
แต่ถ้าเราจะรู้จะเห็นสิ่งใดเพราะการทำความสงบของใจ เห็นไหม เป็นเครื่องอยู่ของใจๆ เพื่อจะไม่ให้ติดสิ่งที่ยวนเย้า สิ่งที่ยั่วยวน สิ่งนี้มันทำให้เราเนิ่นช้า มันทำให้เราเข้าสู่ความสงบไม่มั่นคง ชำนาญในวสีๆ เราฝึกหัดภาวนา เห็นไหม กำหนดพุทโธ เราวางอารมณ์อย่างใด เราทำสิ่งใดแล้วจิตมันสงบได้โดยง่าย จิตสงบโดยพอประมาณ จิตสงบขนาดไหนนี่ประสบการณ์ทั้งนั้น
การภาวนาเริ่มต้นจากตรงนี้ ถ้าเริ่มต้นจากตรงนี้มันจะเป็นข้อเท็จจริง จิตสงบหรือไม่สงบ แล้วในการภาวนาบางคราวมันก็สงบ บางคราวมันก็ไม่สงบ แต่มันจะสงบหรือไม่สงบเราจะปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนการประพฤติปฏิบัติเหนื่อยยากขนาดไหน จนมันเข็ด จนมันขยาด มันเข็ด มันฝังใจ เราทำโดยไม่ต้องการให้สมุทัยความอยากไม่ให้กิเลสมันพลิกไง พลิกเป็นการซ้อมรบไงกิเลสมันพลิก เราไม่ต้องการกิเลส เราต้องการธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา ตามข้อเท็จจริงของเรา
ศีลคือความปกติของใจโดยข้อเท็จจริงไง ถ้ามันมีความผิดพลาดสิ่งใด ทำสิ่งใดถ้ามันศีลขาด ศีลด่าง ศีลพร้อย เราวิรัติ เราแก้ไขได้ เว้นไว้แต่พระ เวลาพระของเราถ้ามันผิดแล้วมันฝังใจ นักรบๆ ใครที่ปฏิบัติมันฝังใจ ฝังใจ ถ้ามันยังไม่ได้เวลา เราก็ถึงเวลาเราก็จะปลงอาบัติของเรา ถ้าปลงอาบัติของเรา สิ่งนี้เป็นอาบัติไง ถ้ามันเป็นความผิดไง ทุศีล เวลาทำความสงบของใจ ใจมันสงบแล้ว เห็นไหมมันก็โลเล
แต่ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ ความถูกต้องชอบธรรมโดยศีลโดยธรรมขึ้นมาทำความสงบของใจให้มันอบอุ่นของเราในหัวใจของเรา แล้วฝึกหัดชำนาญในวสีชำนาญในการเข้าและการออก ถ้าชำนาญในการเข้าและการออก ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เรามีสติ เรามีปัญญา เรารักษาเหตุของเราไว้ เราตั้งด้วยสติสติสัมปชัญญะ การปฏิบัติการทำงานทุกแขนงต้องมีสติประกอบทุกอิริยาบถ แล้วถ้ามันพลั้ง มันเผลอ มันขาดสติไป นั้นเราก็เริ่มต้นใหม่ๆ
แต่คนที่ประพฤติปฏิบัติโดยข้อเท็จจริงโดยการกระทำแล้ว มันจะสมบูรณ์แบบของมัน ถ้าสมบูรณ์แบบของมัน เห็นไหม เราอยู่โดยเหตุตลอด สมาธิจะไปไหน ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าเราจุดไฟ เราเติมน้ำมัน แล้วน้ำมันมันสมบูรณ์แบบ ถ้าไฟมันติดมันก็มีน้ำมันเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ไฟมันก็ต่อเนื่องไป นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติ มีสติของเรา เรามีคำบริกรรมของเรา แล้วรักษาของเรา พอมันสงบแล้วมันมีกำลัง สงบแล้วมีความสุข ถ้ามีความสุขเพราะความสุขนั้นมหัศจรรย์แล้วเราก็จะมีคำบริกรรมอย่างนี้ต่อเนื่องไปโดยที่เราไม่หลงระเริงไง
แต่คนไม่เป็นมีสิ่งใดแล้วมันก็ดีใจ มีสิ่งใดมันก็พลั้งเผลอ แล้วทุกคนมีความคิดว่าสิ่งใดที่เราทำแล้วมันจะเป็นของเราตลอดไป ไม่ใช่หรอก ใจของเรามันโลเลอยู่แล้ว แล้วใจของเรามันมีกิเลสด้วย ใจของเรามันโลเลอยู่แล้ว มันรวนเรอยู่แล้วถ้ารวนเรอยู่แล้วมันได้สิ่งใดแล้วมันไหลลื่นไปหมด
มันถึงต้องมีครูบาอาจารย์ เวลาแก้จิตๆ ครูบาอาจารย์จะคุ้มครองจะดูแลตลอดไป ทำความสงบของใจเข้ามาให้ได้ก่อน แล้วใจสงบแล้วถ้ามันรู้เห็นสิ่งใดวางๆๆ วางให้มันมั่นคงของมันขึ้นมา แล้วถ้ามันจับต้องสิ่งใดได้ๆ หรือสิ่งใดที่มันเข้ามาในคลองของความรู้ความเห็นนั้น เราก็พิจารณามันให้ปล่อยวางๆ ผ่านต่อเนื่องไปๆ จนจิตมันตั้งมั่นนะ คำว่า “ตั้งมั่น” มันทำความสงบได้สะดวกๆ แล้วมันต่อเนื่อง แล้วถ้ามีสิ่งใดมากระทบกระเทือนมันไปแล้ว ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านถึงไม่ให้คุยกัน ไม่ให้คลุกคลี ให้รักษาใจของตน ถ้ารักษาใจของตนได้เพราะเราจะเป็นนักรบ เราไม่ใช่ให้กิเลสซ้อมรบ
กิเลสซ้อมรบมันซ้อนกัน มันบอกว่านี่ความเป็นนักรบ ไอ้พวกแซงหน้าแซงหลัง กิเลสซ้อมรบ กิเลสซ้อมรบกิเลสมันยุมันแหย่ กิเลสมันพลิกมันแพลง กิเลสเป็นคนคุมเกมไง เพราะกิเลสเป็นเจ้าวัฏจักรอยู่แล้ว กิเลสมันคุมหัวใจดวงนี้อยู่แล้ว แล้วด้วยอ่อนแอ ความอ่อนแอ ความพลั้งเผลอ ความไม่เอาไหน เลยให้กิเลสเป็นคนบงการ กิเลสมันเลยจัดซ้อมรบเลย กิเลสมันจัดการให้ ศีล สมาธิปัญญา เหลวไหล ไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน เหลวไหล เอาความเหลวไหล เอาเหตุเอากิเลสที่มันซับซ้อน กิเลสมันจะจัดซ้อมรบให้ไง ว่าเป็นภาคปฏิบัติ แต่ความจริงมันไม่ใช่
เพราะว่าคนเกิดมาด้วยอวิชชา คนเกิดมาด้วยตัณหาความทะยานอยาก ด้วยกรรมดีกรรมชั่วของตน กรรมดีกรรมชั่วของตนมันก็มาจากกิเลสนั่นแหละ ถ้ามันมาจากกิเลสๆ ถ้าเป็นกรรมดีๆ เราสร้างให้เป็นมรรค สร้างให้เป็นมรรคคือสร้างคุณงามความดีโดยการทำดีต่อเนื่องๆ จะทำความสงบของใจมันจะมีอะไรสิ่งใดกีดสิ่งใดขวาง สิ่งที่กีดขวางนั้นคือครอบครัวของมาร เราไม่ต้องไปอุทธรณ์อะไรทั้งสิ้น เราทำของเราโดยบุญกุศล โดยศรัทธา โดยความเชื่อ โดยความมั่นคงของเรา เพราะอะไร
พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เราจะทำคุณงามความดีของเรา สร้างอำนาจวาสนาบารมีของเรา เพื่ออย่างน้อยก็ให้ภพชาติมันสั้นเข้า ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมามันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เพราะมันเป็นการทำและกิเลสเข้าเผชิญหน้าบนหัวใจของเรา นี่ไง การรบกิเลสๆ ถ้าจิตสงบระงับแล้วถ้ามันจับมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ตามความเป็นจริงถ้ามันจับต้องของมันได้นั่นล่ะกองทัพธรรม
กองทัพธรรมคือศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา มันมีภาวนามยปัญญาปัญญาเริ่มต้น ปัญญาจากสามัญสำนึกของมนุษย์ มนุษย์เกิดมาเป็นปุถุชนคนหนามันมีความทุกข์ความยาก เพราะความรู้สึกนึกคิดมันหยาบ มันเข้าสู่ความละเอียดในหัวใจของตนเองไม่ได้ ถ้ามันเข้าสู่ความละเอียดในหัวใจของตนไม่ได้ เราก็พยายามของเรา เราฝึกหัด เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา พยายามใช้คำบริกรรมต้องคำบริกรรม
เพราะคำว่า “คำบริกรรม” เพราะหัวใจ ธาตุรู้ สิ่งที่ถูกรู้คืออารมณ์ความรู้สึกมันบริกรรมของมัน มีการกระทำของมันไง ให้ของมันเป็นข้อเท็จจริงไง ให้มันเป็นสัมมาสมาธิ ให้มันเป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่บอก “มันวางๆ” วางอะไร วางๆ ให้กิเลสมันซ้อมรบใช่ไหม ให้กิเลสมันซับซ้อนใช่ไหม ให้กิเลสมันพลิกแพลงใช่ไหม
ดูการประพฤติปฏิบัติสิ ถ้าเป็นครอบครัวกรรมฐาน เป็นสายหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นที่ครูบาอาจารย์มีข้อวัตรปฏิบัติให้ดำเนินการมา ให้ทำความสงบของใจ ถ้าใจสงบระงับแล้วให้มันเป็นสัจจะเป็นความจริง ให้เป็นนักรบเพื่อจะให้เป็นศีล สมาธิ ปัญญา เข้าไปเผชิญกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากตามข้อเท็จจริง
ให้กิเลสกับธรรม สงครามธาตุ สงครามขันธ์ ให้เกิดภาวะสงคราม สงครามที่มันเกิดขึ้น เวลามันเกิดขึ้นท่ามกลางหัวใจ มันเกิดการกระทำโดยสติโดยปัญญาปัญญามันจะหมุนติ้วๆ มันจะเร็วของมัน จากที่เริ่มต้นจากอืดอาด จากยืดยาดจากทำถูกทำผิด ทำได้ ทำไม่ได้ ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริง มันจะเกิดสัจจะความจริงขึ้นมา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก แล้วมันจะมหัศจรรย์กับความเป็นจริงในพระพุทธศาสนาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้มาด้วยอำนาจวาสนา ด้วยการกระทำด้วยสัจจะ ด้วยความจริงจนมีพระพุทธกับพระธรรม พระอัญญาโกณฑัญญะเวลาฟังธรรมจากองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วประพฤติปฏิบัติตามสัจจะความจริง จิตแทงตลอดด้วยกิจจญาณ สัจจญาณ กตญาณในวงรอบ ๑๒ มันเป็นสัจจะเป็นความจริง เห็นไหม เกิดการกระทำระหว่างกิเลสกับธรรมในหัวใจของพระอัญญาโกณฑัญญะ นักรบ รบสัจจะ รบความจริงขึ้นมาเลยเกิดพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ พระธรรมไม่ใช่พระจำ
ถ้าเป็นพระจำๆ มันจำมา จำมาแล้วกิเลสมันปลิ้นมันปล้อน เวลากิเลสมันปลิ้นอารมณ์เปลี่ยนมันรวนเรมันเปลี่ยนแปลงตลอด สัญญาความจำ จำแล้วขาดตกบกพร่องเกินความจริง ไม่มีข้อเท็จจริง มันเป็นความจำๆ ทั้งสิ้น สัญญา เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติทำความสงบของใจนี่คือกำลัง แล้วเวลาเริ่มฝึกหัดใช้ปัญญาไปๆถ้ากำลังมันอ่อนลง นี่เป็นสัญญาแล้ว เป็นสัญญาคือมันจืดมันชืด เป็นสัญญาคือมันพะรุงพะรัง
ถ้าเป็นปัญญา เวลาเป็นปัญญามันเป็นปัญญาญาณ มันขาด มันฟัน มันทะลุปรุโปร่ง มันปล่อยวาง มันร้อยแปด ถ้ามันเป็นปัญญานะ ทางสายกลางในพระพุทธศาสนา ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ งานชอบธรรม ถูกต้องชอบธรรมนักรบ แต่ซ้อมรบ คำว่า “ซ้อม” ไง ซ้อมรบกิริยาท่าทางดูสวยงามกว่าด้วยเพราะมันไม่มีเลือด ก็เอาเลือดปลอมมาชโลมให้เลือดแดงเลย ให้ถ่ายวิดีโอมาสวยงามแล้วเวลาส่งแล้วได้เก็บคะแนนเต็มที่เลย แต่ในการประพฤติปฏิบัติไม่ใช่
จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง เหตุให้เกิดทุกข์คือสมุทัย คือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก นิโรธคือความดับทุกข์ มันจะดับได้ด้วยมรรค ๘ มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริง
จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ เวลาการกระทำ เห็นไหม เวลาทำความสงบของใจเข้ามาๆ สมถกรรมฐาน สมถกรรมฐานฐานที่ตั้งแห่งการงานคือจิตดวงนี้ จิตดวงนี้สงบระงับแล้วจิตตภาวนา จิตนี้ยกขึ้นสู่วิปัสสนาโดย เห็นไหม ยกขึ้นสู่วิปัสสนาโดยจิตที่เป็นสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ยกขึ้นสู่วิปัสสนาโดยเห็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก นิโรธดับด้วยมรรค ๘ นิโรธดับ นิโรธคือขณะขณะจิตที่มันดับ มันดับโดยมรรค ๘ มรรคสามัคคี
มรรคที่เราเริ่มฝึกหัด เห็นไหม สุตมยปัญญา จินตมย-ปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่มันเกิดขึ้น เวลาฝึกหัดปฏิบัติไป ปัญญามันจะเร็วขึ้น มันจะเท่าทันกิเลสมากขึ้น เวลาสงครามธาตุ สงครามขันธ์ สงครามระหว่างธรรมกับกิเลสที่มันประหัต-ประหารกันบนหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น มันถึงเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกกับใจดวงนั้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อหัวใจของสัตว์โลกที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลามันเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมามันก็เกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมาบนจิตดวงนั้น บนจิตดวงนั้นคือสัมมาสมาธิไง แล้วถ้ามันทำสมาธิไม่เป็นล่ะ? มันจะเอาที่ไหนเป็นพื้นฐานล่ะ?
จิตตภาวนากับอารมณ์ภาวนามันแตกต่างกัน จิตตภาวนามันเกิดชัดเจนแจ่มแจ้งมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก แค่สมถ-กรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน จิตที่สงบระงับ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานมันก็มหัศจรรย์ในจิตของตนอยู่แล้ว ว่าจิตของตน “อ๋อ! จิตดวงนี้ที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันเป็นอย่างนี้ ของที่เป็นของเราแต่ทุกคนไม่เคยเห็น แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านอบรมบ่มเพาะให้ฝึกหัดทำความสงบของใจขึ้นมาเพื่อให้เห็นจิตดวงนี้! จิตดวงนี้! จิตดวงนี้!”
มันมีกี่ดวงล่ะ?
ถ้ามันจิตดวงนี้มันก็สมถกรรมฐานยกขึ้นสู่วิปัสสนาๆ ก็ยกขึ้นสู่วิปัสสนาก็เห็นกิเลสไง ถ้ามันเห็นกิเลสขึ้นมามันก็เกิด เห็นไหม เกิดธรรมจักรไง เกิดภาวนามยปัญญาไง ปัญญาที่ภาวนา ภาวนาที่เกิดขึ้นมันมหัศจรรย์กับใจดวงนี้มากมายขนาดไหน นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ไง ก็มันจะรื้อที่ใจดวงนี้ไง ใจดวงนี้ที่มันทุกข์มันยากไง ใจดวงนี้ที่กิเลสมันครอบงำอยู่ไง ที่ครอบครัวของมารมันครอบงำไว้ไง แล้วถ้ามันเป็นกิเลสพลิกแพลงไง มันซ้อมรบ
เหมือนกันเลย พูดเหมือนกัน คำเดียวกัน แต่ไร้สาระ ไอ้พวกแซงหน้าแซงหลัง!
แซงหน้าแซงหลังมันเป็นสัญญาอารมณ์ กิเลสซ้อมรบ กิเลสมันซ้อมรบมันฝึกหัด แล้วมันฝึกหัดด้วยข้อเท็จจริงไม่ได้ ฉะนั้น เวลาการประพฤติปฏิบัติมันก็อยู่ที่วาสนา ถ้าวาสนามันทำไม่ได้ อย่างไรมันก็ไม่ได้ แต่ไม่ได้ ถ้าไม่ฝึกหัดมันก็ทำไม่ได้ แต่ถ้ามันฝึกหัดของมัน มันจะทำของมันได้ มันจะสร้างสมบารมีสร้างสมบุญญาธิการของมันขึ้นมา ถ้ามันสร้างสมบุญญาธิการของมัน เห็นไหม
ดูสิ ดูครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม ตลอดรุ่ง ตลอดรุ่งก็ตลอดรุ่ง ทุกข์ยากแสนเข็ญขนาดไหนก็จะสู้กับมัน แล้วถ้าสู้กับมัน ถ้าผ่าน ถ้าชนะนะ สงบหมดเลยว่างหมดเลย แล้วว่างมันว่างโดยสมถะและว่างด้วยปัญญา ว่างด้วยสมถะคือเป็นสมาธิ ว่างด้วยปัญญาคือปัญญามันแยกแยะ นักรบรบกับข้อเท็จจริงในใจของตนถ้าใจของตน นี่ไง รื้อสัตว์ขนสัตว์โดยมรรค ๘ ไง มรรคที่มันเกิดขึ้นจากในพระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
แต่ไอ้กิเลสซ้อมรบ พระพุทธ พระจำ พระสงฆ์ มันจำมา มันเป็นสัญญา มันไม่ใช่ข้อเท็จจริง สัญญาคือการศึกษา การศึกษาตามตำรับตำรา ตามวิชาการโลกนี้มากมาย คนที่มีการศึกษาจบจากการศึกษามา เวลามันผิดมันพลาดก็ไปเปิดตำราเพื่อทบทวน นั่นคือตำรา นั่น เห็นไหม นี่ความจำ มันเป็นตำรับตำรา ตำรับตำราเกิดจากการวิจัยการศึกษาค้นคว้าวิเคราะห์มา แต่ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ ธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปัจจัตตังสันทิฏฐิโก สิ่งที่เป็นภาคทฤษฎี เห็นไหม ฉลากยาๆ นี่พระจำ พระพุทธ พระจำพระสงฆ์
ถ้ามันเป็นจริง เป็นจริงขึ้นมา มันเป็นจริงขึ้นมาในหัวใจ มันกังวานขึ้นมาบนหัวใจเลย ถ้ามันกังวานขึ้นมาบนหัวใจ เห็นไหม สมุจเฉทปหาน นิโรธ ดับทุกข์หมดเลย กังวานกลางหัวใจ อีก ๗ ชาติเท่านั้น แล้วถ้านิโรธ กามราคะ ปฏิฆะอ่อนลง นิโรธไม่เกิดบนกามราคะ ไม่เกิดอีกแล้ว นิโรธ วิมุตติสุขเป็นสัจจะเป็นความจริง นี่ไง นักรบ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นนักรบพระองค์แรก กึ่งพุทธกาลนี้ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านกระทำของท่านขึ้นมาเป็นความจริงในหัวใจของท่าน แล้วท่านมีวิหารธรรมในหัวใจของท่าน ถ้ามีวิหารธรรมในใจของท่าน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมลงในใจของหลวงตาพระมหาบัวเป็นหนึ่งเดียว หนึ่งอย่างไร?
ไอ้นักหลบ ไอ้ซ้อมรบมันจำมาเป็นหนึ่งๆ เป็นหนึ่งๆ ดิ้นพราดๆ อยู่นั่น เป็นหนึ่งๆ เป็นหนึ่งๆ นะ มันไม่ต้องดิ้นไม่ต้องรน เพราะว่ามโนวิญฺญาเณปิ นิพฺพินฺทติมโน มโนคือหัวใจ มโน-วิญฺญาเณปิ นิพฺพินฺทติ มันน่าเบื่อหน่าย เพราะตัวตนของมัน มันยังทำลายตัวตนของมัน มโนวิญฺญาเณปิ นิพฺพินฺทติ ทำลายแล้ว มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ สิ่งที่กระทบ สิ่งที่สัมผัสสิ่งใดๆ ก็แล้วแต่น่าเบื่อหน่าย
นิพฺพินฺทติ คือมันทอดมันทิ้ง ถ้ามันทอดมันทิ้งแล้วมันจะไปคว้าอะไร มันจะไปจับต้องอะไร มันจะไปจับต้องสิ่งใดได้ เพราะตัวมันทำลายตัวมันแล้ว ตัวมันไม่มีมันจะทำลายสิ่งใด ถ้ามันทำลายสิ่งใด เห็นไหม มันถึงว่า ถ้าเป็นหนึ่ง เป็นสัจจะเป็นความจริง วิหารธรรม ไม่ดิ้นไม่รนไม่ขวนไม่ขวาย ไม่ทำสิ่งใดให้สะเทือนอริยสัจ สะเทือนสัจจะความจริงแน่นอน นี้คือนักรบ
ไอ้ซ้อมรบมันไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน มันรวนเรเร่ร่อน แล้วหวังของเขา หวังแต่ลาภ หวังแต่การเคารพนบนอบของสังคม สังคมมันก็อยู่ในตัวมันเองไม่ได้อยู่แล้ว กระแสสังคม ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด มีใครยั้งยืนยงอยู่ได้ แล้วไปหวังพึ่งหวังลาภหวังของเขา ไร้สาระ!
ถ้าเป็นสาระเป็นความจริง เป็นสาระเป็นความจริงจากคุณธรรม พระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ พระธรรมคือสัจธรรม แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยังเคารพ ดูกฐินสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธก็มาช่วยเย็บ คนเจ็บ คนป่วยพระป่วย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ไปอุปัฏฐาก นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไว้เป็นตัวอย่าง
ไอ้พระจำ กิเลสซ้อมรบ ไปออด ไปอ้อน ไปออเซาะ ฉอเลาะ ฉันไม่ต้องการอะไรเลย แต่มันออด มันอ้อน มันฉอเลาะ นั้นคือกิเลสซ้อมรบเพราะกิเลสมันพลิก๒ ชั้น พลิก ๒ ชั้นคือมันเป็นคนบงการการกระทำทั้งสิ้น กิเลสมันจัดฉากให้เป็นการซ้อมรบ ไม่มีสิ่งใดเป็นข้อเท็จจริงขึ้นมาจากการประพฤติปฏิบัติ มันเลยไม่มีปัจจัตตัง ไม่มีสันทิฏฐิโก คือไม่มีนิโรธ คือไม่มีขณะ คือไม่มีสัจธรรมสัจจะความจริงที่มีคุณค่าในใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น เอวัง